ต้อม รัชนีกร อยู่ดูแลลูกสาวถึงฝัน

ต้อม รัชนีกร อยู่ดูแลลูกสาวถึงฝัน

ต้องบออกเลยว่าลาวงการไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกาถึง 5 ปี สำหรับ ต้อม รัชนีกร อดีตนางเอกชื่อดังเผยชีวิตรักที่ทำให้ต้องอึ้ง มีสามีขี้หึงมากเกินไปจนต้องวางแผนกว่าจะหอบลูกหนีกลับมาอยู่เมืองไทยได้

เธอบอกว่า เชื่อไหมกว่าจะหนีกลับมาได้ เอาตัวกลับมาได้ก็บุญแล้ว โอ้โหจับขังเลย เคยดูหนังสืบสวนสอบสวนรึเปล่า ผู้ชายจอดรถต้องเอาชอล์กขีด พร้อมกับบอกให้ต้อมเล่าความจริง

โดยต้อมก็ได้ยอมเปิดเผยครั้งแรกแบบหมดเปลือกถึงสาเหตุที่หนีมาว่า ผู้ชายไม่ได้ทำอะไรเลย ตื่นมาทุกเช้าก็จะนั่งอยู่หน้าบ้านแล้วเรียกเราไปกอดทุกวัน

บอกไอเลิฟยูทุกวัน คือรัก รักมากจนเกินไปบางทีมันก็ไม่ไหว คุยอะไรกับใครไม่ได้เลย มีเพื่อนฝูงไม่ได้เลย

ขนาดเพื่อนเขามาบ้านเราคุยด้วยเนี่ยไม่ได้แล้วนะ คือแบบเข้าบ้าน แม้แต่กับลูกก็หวงคือต้องมีเวลาให้กับเขามากกว่า

แค่จะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตแค่กิโลเดียวยังไม่ให้ไปเลย ไปไหนต้องตัวติดไปด้วย อยากออกจากบ้านได้บ้าง ก็เลยแบบไม่ไหวแล้ว ณ วันนึงก็ไม่เอาแล้ว

ต้อมยังบอกอีกว่า วางแผนอยู่สี่เดือนยากมากไม่ให้จับได้ ทยอยเอาของส่งกลับเมืองไทยใช้เวลาไม่มีใครอยู่บ้านแอบแพคของ ขโมยกุญแจรถเพื่อขนของไปส่งทางเรือ ระวังไม่ให้ถูกจับได้ว่ารถมีการเคลื่อนย้าย

เอาปากกาเมจิกขีดไว้ว่ารถจอดตรงนี้ เบาะคนขับตรงนี้เพื่อเวลาที่สามีมานั่งแล้วพอดีไม่รู้ว่าเราขับไป

ด้วยความเป็นแม่บ้านไม่มีงานไม่มีอะไรเลย ถ้าต้องฟ้องร้องเรื่องลูก ลูกเราอยู่กับเขาแน่นอนทำให้ต้องคิดหลายเสต็ปมาก

ไปติดต่อมูลนิธิให้เขาช่วยเกี่ยวกับคนเอเชียที่มาแต่งงานกับอเมริกา แต่ผลสุดท้ายแล้วคือเรากับลูกต้องแยกกันแน่ ก็เลยตัดสินใจว่าตัวเองต้องหนีแล้วพร้อมกับหอบลูกหนีมาด้วยกระเป๋าแบ็คแพ็คใบเดียว

โทรปรึกษาเพื่อนสนิท เอ้ ชุติมา ถ้าหนีจากวอชิงตันมาไทยใช้เวลาสิบเจ็ดชั่วโมง ถ้าถูกจับได้คือลักพาตัวเด็กแน่นอน เลยหนีไปหาพี่สาวที่แอลเอก่อนหลอกว่าอยากมาพักสิบวัน จนหนีกลับมาได้สำเร็จ

ต้อม รัชนีกร กับชีวิตคู่ครั้งที่สาม ตอนนี้แฮปปี้ค่ะ เพราะว่าเหมือนเราเคยมีประสบการณ์ชีวิตมาแล้วเราปรับเข้าหากันได้ ชีวิตที่ใช้มามันเป็นอะไรที่มีประสบการณ์

แล้วเราจะไม่เอาประสบการณ์แย่ๆ ของทั้ง 2 ฝ่ายมาใช้ซึ่งกันก็เป็นความรักที่ราบเรียบได้ไม่มีอะไรที่หวือหวา ชีวิตเรามันค่อนข้างที่จะเจอคนยากมาก

ซึ่งมันเป็นอะไรที่ โชคชะตาหรือพรหมลิขิตที่ต้องไปเจอ เมื่อก่อนก็มีคนถามว่าจะแต่งเมื่อไหร่ไม่แต่งหรอกอายุก็ขนาดนี้แล้ว เพราะต่างคนก็ต่างเคยมีครอบครัวมาแล้วเขาก็มีลูกของเขา

แล้วเราก็มีลูกของเราแล้วเรามองว่ามันไม่จำเป็นต้องมาจัดงานแต่งอะไรกันแล้ว สิ่งที่ได้จากความล้มเหลวในชีวิตคู่ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเราจะเป็นของเราแบบนี้

เราไม่ขอเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้นมันเปลี่ยนมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งเรารู้ตัวเองเลยว่ามันไม่ใช่บทเรียนที่เราเปลี่ยนชีวิตคู่เรา 2 ครั้ง เราล้มเหลวหมดเลยเราต้องเป็นตัวของเราดีที่สุดค่ะ

เรียบเรียงโดย ทีมงาน news.in.th

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ