เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคู่รักที่กำลัง วุ่นอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน และล่าสุดก็มาถึงขั้นตอนการเลือกโลเคชั่นสถานที่จัดงานแต่งงาน ซึ่งก็เริ่มจากการออกความคิดกันก่อน อย่าง แพทตี้ ที่บอกว่าอยากได้ที่ที่น้องหมาไปได้ ส่วนทางด้าน แดน ก็บอกว่าอยากได้ที่เป็นทะเล อยากปิดเกาะจัดงานแต่ง หรือถ้าเกาะไม่ได้ก็ริมหาด แขกก็จะมีแค่ญาติๆ และเพื่อนสนิท

ซึ่งทั้งคู่ก็ได้โทรไปเช็กตามโรงแรมต่างๆ ทั้งวันเวลา และราคา แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนลงตัว เพราะมีเวลาจำกัดด้วย

และบทสรุปตอนท้ายที่ทั้งคู่ แดน-แพทตี้ สรุปให้ฟังก็คือ ที่ทะเลที่เป็นเกาะ นำสุนัขเข้าได้ ส่วนใหญ่เต็ม และพอเป็นเกาะส่วนตัวคือส่วนใหญ่ต้องนัดจองล่วงหน้า 5 เดือนขึ้น และที่เป็นริมทะเลก็เต็มหมดเลย แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ดีหมดทุกอย่างแต่ติดที่ว่าผู้ใหญ่เดินทางไปยาก ลงเครื่องที่ภูเก็ตแล้วต้องนั่งรถไปอีกเป็นชั่วโมง อย่างอาม่าอายุ 97 แล้วไม่สะดวกในการเดินทางไกลขนาดนี้ ตัวเลือกนี้ก็เลยตัดไป ไว้โอกาสหน้าจะไปเที่ยวแทน

และตัวเลือกก็แคบลงมา ตัดสิ่งที่อยากได้ออกไปก่อน คราวนี้ก็แคบมาเหลือแค่ที่กรุงเทพฯ และที่กรุงเทพฯ ก็เต็มเช่นกัน เพราะด้วยสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา คนก็เลยอัดอั้นไม่ได้แต่งในช่วงนั้นก็เลยค่อนข้างแน่น หรือบางที่ไม่แน่นราคาก็ค่อนข้างสูง 2-3 เท่าจากราคาที่ผ่านมา ก็เลยรู้สึกว่าอาจะจะไม่คุ้มเท่าไหร่

สุดท้าย แดน-แพทตี้ ก็เลยตัดสินใจกันว่าจะจัดงานแต่งกันที่ วัด แดนบอกว่ามั่นใจว่าเธอคือคนที่ใช่ตอนไปบวช และขอแต่งก็ขอที่วัด ไหนๆ แล้วก็แต่งที่ วัด กันไปเลย

แล้วจริงๆ ก็เป็นความตั้งใจแรกของทั้งสองคนอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายอยู่ที่ทั้งคู่อยากได้งานแต่งที่เรียบง่ายที่สุด ตัดพิธีที่ไม่ได้จำเป็นออกไปให้เยอะที่สุด แล้วก็ปรึกษาทางผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็แฮปปี้ไม่ติดอะไร เพราะเรียบง่ายเหมือนกัน และตอนนี้ทั้งคู่ก็ทำเรื่องขออนุญาตไปเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้บอกว่าวัดไหน

และข้อดีของการจัดงานที่วัด แดน-แพทตี้ บอกว่านำเงินที่จะใช้ในการจัดพิธีแต่งงานไปสร้างเรือนหอได้อีก ได้ต้นทุนค่าเล่าเรียนการศึกษาให้กับลูกตัวน้อยอีกประมาณ 5 คน จัดที่นี่คือตัดความวุ่นวายไปได้ทั้งหมดเลย อย่างเรื่องชุดคุยกันว่าสุดท้ายอาจจะจบที่ชุดไทย มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดงานในระยะเวลาอันสั้น แต่พอจบว่าจะจัดงานที่นี่ ทั้ง แพทตี้-แดน ก็แฮปปี้มาก รู้สึกโล่งเลย