สั่งจำคุก อัจฉริยะ 1 ปี ปรับ 1 แสน โทษฐานหมิ่นประมาท
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 65 ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา คดีดำเลขที่ อ.3108/63 ที่ น.ส.วิริยาภรณ์ งามผล หรือ "พริตตี้เดียร์" เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย.63 จำเลย ได้"หมิ่นประมาท"ใส่ความโจทก์ ต่อบุคคลที่ 3 และ ประชาชนทั่วไปโดยการโฆษณา ด้วยการถ่ายทอดสดแพร่ภาพแพร่เสียงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทางอินเตอร์เน็ตที่กลุ่มสนทนาของเว็บไซต์ชื่อ www.facebook.com โดยจำเลยถ่ายทอดสด ภาพและเสียงบน facebook live บัญชีผู้ใช้ (Account) ชื่อ "ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม" เมืองไทยรายวัน ซึ่งประชาชนทั่วไปและกลุ่มเพื่อน หรือสมาชิก และผู้ติดตามของจำเลย สามารถเข้าถึงได้ โดยการกระจายภาพและเสียงของจำเลย โดยจำเลยพูด ว่า "พริตตี้เดียร์เนี่ยนะครับ ไปเบิกความที่ศาล คดีลัลลาเบลทำให้คดีลัลลาเบลเสียหาย"
จำเลยพูดอีกว่า "พริตตี้เดียร์ไปเบิกความ ที่ศาลธนบุรีคดีลัลลาเบลแล้วไปให้ การแบบไหนนะครับ ไปให้การเท็จแบบไหน ไปให้การกลับ คำให้การแบบไหน แล้วทำไมถึงถอนฟ้องนะครับบ้านบางบัวทองทุกคนก่อนที่จะไปขึ้นศาลคดีลัลล่า เบลและไปเบิกความคดีลัลลาเบลกลับคำให้การแบบไหน จนทำให้ลัลลาเบลเสียหายแค่ไหน"
ซึ่งใน การถ่ายทอดสดของจำเลย ด้วยการพูดถ้อยคำดังกล่าว ทำให้บุคคลที่ 3 และประชาชนทั่วไป ที่ได้เห็นและรับฟังถ้อยคำพูด ผ่านการถ่ายทอดสดของจำเลย เข้าใจว่า จำเลยกำลังพูดถึงโจทก์เพราะมีการพูด ถึงชื่อโจทก์อย่างชัดเจน จึงทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารเข้าใจได้ว่าหมายถึงโจทก์ ดังนั้น บุคคลที่ 3 และประชาชนทั่วไปที่ได้ฟัง จะเข้าใจว่าโจทก์เบิกความเท็จต่อศาลอันเป็นข้อสำคัญใน "คดีลัลลาเบล" ทำให้คดีเสียหาย อันเป็นความผิดต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง การถ่ายทอดสดด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นของจำเลยนั้น เป็นการใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง เหตุเกิดทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328
ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า "คดีมีมูล" ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติว่า โจทก์ เป็นพยานในคดีของ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ หรือ"ลัลลาเบล" ซึ่งคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ธิติมา เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสื่อมวลชน โดยประชาชนเรียกว่า"คดีลัลลาเบล" หรือ "คดีบ้านบางบัวทอง" และรู้จักโจทก์ในชื่อ "พริตตี้เดียร์" จำเลยเป็นประธาน"ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม" มีแฟนเพจเฟซบุ๊ก จำเลยถ่ายทอดสดภาพและเสียง โดยจำเลยเป็นผู้กล่าวข้อความตามที่โจทก์นำมาฟ้อง นางศุภมาศ นรพันธ์พิพัฒน์ มารดาของ น.ส.ธิติมา เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเสียชีวิตของนางสาวธิติมา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า จำเลยถ่ายทอดสดภาพและ เสียงบน facebook live ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งในการถ่ายทอดสดของจำเลยด้วย การพูดถ้อยคำดังกล่าวทำให้บุคคลที่ 3 และประชาชนทั่วไป ที่ได้เห็นและรับฟังเข้าใจว่าจำเลยกำลังพูดถึงโจทก์เพราะมีการพูดถึงชื่อโจทก์อย่างชัดเจน ประชาชนทั่วไปที่ได้ฟังจะเข้าใจว่าโจทก์เบิกความเท็จต่อศาลอันเป็นข้อสำคัญใน"คดีลัลลาเบล" ทำให้คดีเสียหายอันเป็น ความผิดต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง การถ่ายทอดสดด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นของจำเลยนั้นเป็นการใส่ความโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง จำเลยไม่ใช่เจ้าพนักงาน หรือผู้มีส่วนได้เสียใน"คดีลัลลาเบล" จำเลยจึงไม่มีสิทธิแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ หรือ ถ่ายทอดสดถึงพยานหลักฐานในคดี จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเป็นผู้ได้รับมอบ อำนาจจากมารดาของ น.ส.ธิติมา ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้กระทำความผิด ขณะที่ถ่ายทอดภาพและเสียงไม่ได้ระบุชื่อนามสกุลจริงของโจทก์ และกระทำ ไปในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจ
จำเลยเพียงชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชน ทราบ เนื่องจากคดีนางสาวธิติมาเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และชี้แจงในส่วนที่จำเลยถูกพาดพิง
เห็นว่า จำเลยกล่าวถึงบุคคล คือ"พริตตี้เดียร์" ในคดี"ลัลลาเบล" ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามคดีของ น.ส.ธิติมา หรือ"ลัลลาเบล" ทราบว่าจำเลยกล่าวถึงบุคคลใด เป็นการกล่าว ยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไปเบิกความที่ศาลธนบุรี ด้วยการให้การเท็จและกลับคำให้การ เมื่อผู้ที่ได้ฟัง แล้วย่อมเข้าใจว่าโจทก์ให้การต่อศาลอันเป็นเท็จ และมีการกลับคำให้การในคดีของนางสาวธิติมา ทำให้โจทก์ได้รับผลกระทบทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง แม้ว่าคดีที่โจทก์เบิกความเป็นพยานนั้น มารดาของ น.ส.ธิติมา เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลย ดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องการรับมอบอำนาจของจำเลยก็เป็น การรับมอบอำนาจเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ทำการหมิ่น ประมาทบุคคลอื่น
อีกทั้งหากโจทก์ได้ให้การในชั้นศาลโดยการกลับคำให้การ หรือให้การเท็จ มารดา ของน.ส.ธิติมา ในฐานะผู้เสียหาย ย่อมสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายที่จะไปฟ้องร้องคดีต่อศาล เพื่อให้ดำเนินคดีกับโจทก์ต่อไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าข้อยกเว้น อันจะไม่เป็นความผิดฐาน"หมิ่นประมาท" พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุก 1 ปี และปรับ 1 เเสนบาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลย กลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี