นศ.หญิง วางยาพิษเพื่อน หามส่ง รพ. กว่า 800 ชีวิต
วันที่ 3 ตุลาคม 2565 เว็บไซต์ SaoStar เผยรายงานย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญที่เคยโด่งดังในอดีต เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2535 อยู่ ๆ นักศึกษาจำนวนร่วม 800 คน ภายในวิทยาลัยการเงินในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ถูกวางยาพิษในเวลาเดียวกัน ก่อนการสอบสวนจะพบความน่าสะพรึง ทั้งหมดเป็นฝีมือของนักศึกษาสาววัย 21 ปี เพียงคนเดียว
รายงานเผยว่า ในช่วงบ่ายของวันเกิดเหตุ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในชั้นเรียน อยู่ ๆ นักศึกษาจำนวนมากก็มีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว และอาเจียนออกมา พร้อมส่งเสียงร้องครวญคราง จนต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นบริเวณโรงอาหาร หอพัก และภายในบริเวณวิทยาลัยทั้งหมด ตกอยู่ในความโกลาหลทันที ซึ่งตอนแรกทุกคนยังเข้าใจว่าน่าจะเป็นเคสอาหารเป็นพิษ
โดยนักศึกษาที่ได้รับพิษคนแรก ๆ แสดงอาการทั่วไป เช่น มีไข้สูง ปัสสาวะลำบาก และแขนขาชักงอ หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนนักศึกษาที่มีอาการก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านไปราว 1 ชั่วโมง ตัวเลขผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นสูงถึง 803 คน จนโรงพยาบาลในพื้นที่เต็ม ต้องประสานสถานีแพทย์ของสถาบันกองทัพปลดปล่อยในบริเวณใกล้เคียง เพื่อส่งแพทย์ทหารเข้ามาช่วยเหลือ
นักศึกษาที่มีอาการหนัก จะถูกส่งเข้าห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เพื่อล้างลำไส้ และให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ส่วนนักศึกษาที่มีอาการน้อยลงมา ก็จะได้รับการปฐมพยาบาลตามอาการ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด เตียงในโรงพยาบาลรวมทั้งในสถาบันกองทัพก็เต็มเช่นเดียวกัน
ภาวะฉุกเฉิน ยาในเมืองมีไม่พอ
ทางกรมอนามัยเมืองเจิ้งโจว เร่งเดินทางไปยังวิทยาลัยที่เกิดเหตุ ให้ความช่วยเหลือช่วยปฐมพยาบาล และรักษานักศึกษาผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง ในขณะเดียวกัน ทางหัวหน้าและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ นำทีมเข้าปิดล้อมพื้นที่ พร้อมทั้งสุ่มตัวอย่างอาหาร 30 ชนิดไปตรวจสอบ
ผลการทดสอบพบว่า บะหมี่ที่โรงอาหาร มีสารพิษที่ชื่อว่า อาร์เซนิกไตรออกไซด์ (Arsenic trioxide) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า สารหนู การรักษาจำเป็นต้องใช้ยาซัคซิเมอร์ (Succimer) แต่ในขณะนั้น ทั้งโรงพยาบาลขนาดใหญ่และขนาดเล็กในเมืองเจิ้งโจวทุกแห่ง มียาดังกล่าวเพียงไม่ถึง 30 กล่อง
เวลา 04.00 น. ในเช้าวันรุ่งขึ้น ทางเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ระดมยาซัคซิเมอร์ พร้อมประสานสายการบินให้ช่วยเหลือด้านการขนส่งอย่างเร่งด่วน จากนั้นในเวลา 17.00 น. ผู้ถูกวางยาพิษหมดก็ได้รับการรักษา และเริ่มอาการดีขึ้น รวมทั้งนที่อยู่ในอาการโคม่าก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาเช่นกัน
จนท. ลุยสืบข้ามคืน ก่อนเจอตัวการ
เจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า 40 นาย ทำงานต่อเนื่องข้ามคืน และพบว่ามีสารหนูอยู่ในแป้งทำบะหมี่จำนวน 2 ถุง ทางเจ้าหน้าที่จึงสอบสวนทุกโรงงานที่ส่งแป้งให้โรงอาหาร แต่ไม่พบเบาะแส อีกทั้งคนทำอาหารที่ใช้แป้งเหล่านั้น ก็ไม่มีแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรม
ต่อมา ทางทีมเจ้าหน้าที่ด้านพิษวิทยา ได้ตรวจสอบการรายงานการซื้อขายสารหนูทั้งหมดจากร้านขายยาทุกแห่ง จนกระทั่งเริ่มพบเบาะแสของคดีนี้ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงนักษาหญิงรายหนึ่ง ชื่อว่า หลี่หยุน วัย 21 ปี
เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 18 มิถุนายน หลี่หยุน ไม่ได้ไปโรงอาหารตามปกติ เธอพักอยู่ในห้องคนเดียวและกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อีกทั้งเธอยังเคยถามเพื่อนร่วมชั้นที่มีสมาชิกในครอบครัวทำงานที่โรงพยาบาล เกี่ยวกับวิธีการซื้อสารหนู
ยิ่งค้นหลักฐาน ยิ่งสะพรึงแผนการร้าย
ภายหลังจากการตรวจสอบห้องพักหลี่หยุน พบว่า เธอมีถุงมือยางคู่หนึ่งที่เปื้อนสารพิษซึ่งพบในแป้งทำบะหมี่ ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ยังพบว่าบริเวณใต้เตียงนอนของเธอ มียาฆ่าแมลงชนิดกรดซัลฟิวริกเข้มข้น รวมทั้งอาวุธอันตรายอื่น ๆ ได้แก่ มีดทำครัว กริช และเลื่อยตัดโลหะ
เจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวน เผยว่า หลี่หยุนใช้เอกสารปลอม 3 ครั้ง เพื่อซื้อสารหนูทั้งหมด 700 กรัม ตั้งแต่วันที่ 2, 12 และ 27 พฤษภาคม และเพื่อที่จะไม่ถูกตรวจจับ เธอใช้เลื่อยตัดเหล็กตัดเข้าทางลูกกรงบริเวณห้องน้ำหญิง แทนการผ่านทางประตูหอพัก
ในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 18 มิถุนายน หลี่หยุนเอาสารหนูที่ซ่อนใต้เตียง ลงไปที่ห้องน้ำหญิงชั้น 1 จากนั้นก็ถอดลูกกรง แล้วปีนออก กระโดดเข้าหน้าต่างไปในโรงอาหาร เทสารหนูลงในถุงแป้งและเครื่องรีดแป้ง เมื่อเสร็จก็กลับทางเดิม ขึ้นห้องไปซักเสื้อผ้าจนเสร็จประมาณ 04.00 น.
แรงจูงใจก่อเหตุ มุ่งร้ายเพื่อนในสถาบัน
แรงจูงใจในการก่อเหตุเริ่มจากเมื่อ 3 เดือนก่อน หลี่หยุนถูกลงโทษทางวินัย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว อีกทั้งยังแอบอ้างเป็นเพื่อนร่วมชั้นเพื่อรับจดหมายโอนเงิน จนถูกพักการเรียน 1 ปี เมื่อเพื่อนรอบข้างพากันรังเกียจ เธอจึงวางแผนทำร้ายพวกเขา โดยตอนแรกตั้งใจสาดกรด หรือใช้อาวุธมีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวางยาพิษในที่สุด
คำสารภาพจากนักศึกษาวัย 21 ปี กล่าวว่า "ฉันเกลียดโลกนี้ ฉันแค่อยากจะทำลายโลก ฉันเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่อ่อนแอ ใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ฉันกลัวเลือด เลยเลือกวางยาพิษและเริ่มค่อย ๆ ทำทีละขั้น"
ขอบคุณข้อมูลจาก saostar, sohu